SCGP ไตรมาส 2 กำไรลด 20% ปันผลครึ่งปี 0.25 บาท/หุ้น
SCGP ไตรมาสแรกกำไรลด 26% เหลือ 1,220 ล้านบาท บรรจุภัณฑ์ยอดขายตก
บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP รายงานงบการเงินประจำไตรมาสที่ 3 ปี 2566 โดยบริษัทมีรายได้จากการขายรวม 31,572 ล้านบาท ลดลง 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไร 1,325 ล้านบาท ลดลง 28% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยสาเหตุหลักมาจากราคาขายของกระดาษบรรจุภัณฑ์ที่ลดลง เนื่องจากเศรษฐกิจในจีนและยุโรปฟื้นตัวล่าช้า รวมถึงผลจากการส่งออกสินค้าฟุ่มเฟือยยังมีแรงกดดันจากอุปสงค์ที่ยังอ่อนตัว
ขณะที่กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เท่ากับ 4,229 ล้านบาท ลดลง 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และอัตรา EBITDA Margin อยู่ที่ 13% ลดลงจากปีก่อนที่ 14%
เมื่อรวม 9 เดือนแรกของปี 66 มีกำไรสุทธิรวม 4,030 ล้านบาท ลดลง 25% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
- ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจร มีรายได้เท่ากับ 23,655 ล้านบาท ลดลง 19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
- ธุรกิจเยื่อและกระดาษ มีรายได้เท่ากับ 6,591 ล้านบาท ลดลง 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
- ธุรกิจรีไซเคิล มีรายได้เท่ากับ 1,815 ล้านบาท ลดลง 29% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ด้านสินทรัพย์รวม เท่ากับ 200,608 เพิ่มขึ้น 2% จากสิ้นปี 65 และมีหนี้สินรวม 96,870 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากสิ้นปี 65 ขณะที่ เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด เหลือเท่ากับ 7,424 ล้านบาท ลดลง 26% จากสิ้นปี 65
นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า ไตรมาสที่ 3 การใช้บรรจุภัณฑ์ โดยเฉพาะในกลุ่ม FMCG (สินค้าที่จำเป็นสำหรับชีวิตประจำวัน) หรือ กลุ่ม Consumer (ผู้บริโภค) ก็มีการปรับตัวสูงขึ้น แต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ในแง่ของการส่งออกไปทางโดยเฉพาะในฝั่งยุโรป ก็เรียกว่าตึง ๆ หน่อย ส่วนในจีนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจก็ช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ขณะเดียวกันการที่เกิดภาวะ Overcapacity (สินค้าเกินความต้องการของตลาด) ก็ทำให้มีการแข่งขันในด้านราคาพอสมควร
ทั้งนี้เรื่องราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น มองว่า ในระยะยาวหากสงครามไม่ขยายวงกว้างมากขึ้น ก็ไม่ทำให้ราคาน้ำมันสูงไปกว่านี้ ส่วนผลกระทบแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรกราคาดีเซลที่ขึ้นลงทุก ๆ 1 บาท จะกระทบต้นทุนค่าขนส่ง 2 ล้านบาท ถือว่าไม่เยอะ และส่วนที่สองกระทบบรรจุภัณฑ์อ่อนตัว ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าปริมาณเม็ดพลาสติก และราคาน้ำมันอยู่ที่เท่าไหร่ โดยที่ผ่านมาบริษัทสามารถจัดการได้ในเรื่องการปรับราคาขายให้สอดคล้องกับราคาต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
สำหรับประมาณการณ์ยอดขาย นายวิชาญ ระบุว่า ในไตรมาส 4 อาจเพิ่มขึ้นเล็กจากไตรมาส 3
“ปีนี้เป็นปีแรกที่ช่วงกลางปีที่เราไม่ได้รีวิวยอดขยาย เพราะเราเห็นว่าสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ที่นี้ในส่วนของประมาณการ ในส่วนของไตรมาสที่ 4 และก็ทั้งปี ผมคิดว่าลองดูแล้วกัน ว่า 3 ไตรมาสแรกที่ผ่านมาประมาณเท่าไหร่ แล้วก็ไตรมาส 4 ก็อาจจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เพราะฉะนั้นก็จะเป็นตัวเลขที่สามารถคาดการณ์ได้ในสิ้นปีนี้” นายวิชาญ กล่าว
ขณะที่งบการลงทุน (Capex) รวม 9 เดือนแรกของปี 66 ใช้ไปแล้ว 5,319 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่ใช้ไปกับการซ่อมบำรุง และ ESG ขณะเงินลงทุนเพื่อการเติบโต ใช้อยู่ที่ราว 1,500 ล้านบาท เนื่องจากโครงการ M&P (ควบรวมกิจการกับพันธมิตร) ยังไม่มีการใช้งบลงทุน
อย่างไรก็ตามในไตรมาส 4 ปี 66 คาดว่าจะใช้เงินลงทุนอีกราว 3,000 ล้านบาท รวมเงินลงทุนทั้งปีราว 8,000-9,000 ล้านบาท ซึ่งยอมรับว่าต่ำกว่าเป้าหมายทั้งปีที่ 20,000 ล้านบาท
ด้านหุ้น SCGP ปิดตลาดวันที่ 24 ต.ค. 2566 ราคาอยู่ที่ 34.50 บาทต่อหุ้น โดยยังคงทรงตัวบริเวณระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี
อ่านรายละเอียดฉบับเต็ม :คำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการไตรมาสที่ 3/2566 (ก่อนสอบทาน)
ครม.เคาะ วันหยุดปีใหม่ ตั้งแต่ 29 ธ.ค.66-1 ม.ค. 67
แพร่ประกาศ "โรคต้องห้าม" เป็นข้าราชการสำนักงาน ป.ป.ชคำพูดจาก ปั่นสล็อตแตกทุกเกม.
แรงไม่หยุดฉุดไม่อยู่ “สัปเหร่อ” โกยรายได้ทะลวง 500 ล้านบาท ในเวลา 2 สัปดาห์